Sunday, December 20, 2009

District 9 : ฤามนุษย์จะเห็นแก่ตนเกินแก้


หลายอาทิตย์ก่อนโดนพาไปดู District 9 ด้วยความที่คนพาไปชอบมากถึงกับออกปากว่า “นี่เป็นหนังเอเลี่ยนที่ดีที่สุด แล้วเธอจะลืม Alien ไปเลย” เมื่อไปชมแล้ว ต้องบอกว่าไม่เห็นด้วย ก็นี่มันไม่ใช่หนังเอเลี่ยน มันหนังการเมืองชัดๆ! เมื่อมองกันตรงๆแล้ว District 9 ไม่ใช่หนังเอเลี่ยนหรือสัตว์ประหลาดต่างดาว มันคือหนังที่วิพากษ์การเมืองและสังคม โดยผ่านตัวละครกลุ่มใหม่นั้นคือ เอเลี่ยน (แม้เจ้า คิดได้อย่างไร)

ตัวเนื้อเรื่องใช้การเล่าเรื่องแบบกึ่งสารคดี รูปแบบของหนังสารคดีคือ มีภาพข่าว (ในลักษณะเหมือนของจริง) ฟุตเตจจากการสัมภาษณ์(Talking Head) ภาพจากกล้องวงจรปิด หรือ VTR เราสามารถพบไ้ด้ในหนังเรื่องนี้สลับกับการดำเนินเรื่องแบบภาพยนตร์ จริงๆแล้วจะว่ากึ่งสารคดีก็ไม่ถูกนัก เพราะว่าส่วนที่เป็นสารคดี (ที่ควรจะเป็นเรื่องจริง) มันเป็นเรื่องปลอมทั้งเพนั่นนะซี ทำนองเดียวกับ The Blair Witch Project นั่นแล คือเป็น Mocumentary หรือสารคดีเรื่องปลอมๆที่ทำให้ดูคล้ายเรื่องจริง ด้วยเทคนิคแบบนี้ที่จะสามารถทำให้คนดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง (อย่างน้อยก็ตอนดูหนัง) ว่ามันดูจริงมาก ว่าด้วยเรื่องราวของ เอเลี่ยนพลัดถิ่น ที่ดันตกที่นั่งลำบากมาที่แอฟริกาใต้ จนกลายเป็นพลเมืองชั้นล่างที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ถูกกั้นขวางโดยเฉพาะ นามว่า District 9 เรื่องราวเริ่มต้นตอนที่ มีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อจะขับไล่และจัดการกับเอเลี่ยนใน District 9โดยอพยพไปอยู่ที่อื่น นำโดย วีคัส แวน เดอร์เมอร์เว หัวหน้าหน่วย เนิร์ดหน้าที่และปฏิบัติต่อเอเลี่ยนดังผู้ที่ต่ำต้อยกว่า ซึ่ง แวน คงไม่อาจเข้าใจเรื่องของความเป็นมนุษย์ เรื่องของมิตรภาพระหว่างคนกับเอเลี่ยน เลย หากเขาไม่บังเอิญติดเชื้อและจะกลายพันธ์เป็นเอเลี่ยน

สำหรับฉันมองว่า District 9 เปี่ยมไปด้วยแนวคิดของ Third Cinema ที่ชี้ให้เห็นความอยุติธรรมในสังคมหนึ่งๆ และการต่อสู้เพื่อให้ได้มาเพื่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งว่ากันด้วยการต่อสู้ทางการเมือง ของ 2 ชนชั้น ตัวอย่่างเช่น คนขาว(อยู่เหนือกว่า มีการศึกษามากกว่า) กับ คนดำ(มองว่าด้อยการศึกษาและอาศัยอยู่ในสลัม) , ผู้ที่อยู่ในอำนาจ กับผู้ใต้อำนาจ หรือ รัฐบาลกับพลเมืองตาใส แต่ในเรื่อง District 9 พิเศษกว่าที่กล่าวมามากเพราะมีถึง 3 กลุ่มชนชั้น คือ คนขาว ซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นปกครอง มีการศึกษา อยู่เหนือกว่าชาวพื้นเมืองกลุ่มที่สอง คือ ชาวไนจีเรียน (ถ้าจำไม่ิผิด) ซึ่งเป็นคนดำ อยู่ในฐานะที่ต่ำกว่า บางส่วนอาศัยอยู่ใน District 9 ร่วมกับเอเลี่ยนด้วย และกลุ่มที่สามคือ เอเลี่ยน ซึ่งเป็นชนชั้นล่างสุด ถูกปฎิบัติราวกับสัตว์ก็ไม่ปาน ได้รับการเรียกว่า “กุ้ง” เพราะเอเลี่ยนดำเนินชีวิตด้วยการหาของกินจากขยะ หรือแม้แต่มีอาหารโปรดอย่างอาหารแมว

ในเรื่องเอเีลี่ยนอยู่ในกลุ่มล่างสุด แม้ว่าในหนังหลายๆเรื่องเอเลี่ยนดูจะเป็นผู้มีอารยธรรมสูงกว่ามนุษย์ แต่เอเลี่ยนเรื่องนี้โดนทั้งการถูกดูหมิ่น ขายของให้แบบแพงหูฉี่ ตัดชิ้นส่วนร่างกายมากิน ล้อเล่นเห็นเอเลี่ยนเป็นเรื่องน่าขำจากกลุ่มคนดำ หรือแม้แต่ถูกจับเอาไปทดลองโดยคนขาว (มนุษย์พยายามหาวิธีใช้อาวุธของเอเลี่ยน เพราะมันทำงานกับดีเอ็นเอแบบเอเลี่ยนเท่านั้น) ไม่แปลกที่เอเลี่ยนพยายามจะกลับดาวตัวเอง แต่ดันถูกทำเสียแผนโดย วีคัส การต่อสู้ดูจะหมดหนทาง จนกระทั่ง วีคัสเจ้าปัญหาพบว่าตัวเองกำลังกลายพันธุ์เป็นเอเลี่ี่ยนโดยการได้รับสารบางอย่าง เรื่องราวก็ดูเหมือนเริ่มกลับตะละปัด

เมื่อนั้น วีคัส (ตัวเอกของเรา) กลายเป็นที่ต้องการของมนุษย์อย่างยิ่งยวด เขาโดนจับไปทดลองอาวุธเอเลี่ยน แล้วปรากฏว่าใช้งานมันได้ เพราะแขนข้างหนึ่งเขากลายสภาพแล้ว โอ้ วีคัสผู้บัดนี้จะเป็นเอเลี่ยนก็มิใช่มนุษย์ก็มิเชิง โดนมนุษย์(คนขาว) จับมาทดลองแบบไร้ความปราณี ราวกับว่ามิเห็นความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว ทั้งที่ วีคัสเคยมีบทบาทเป็นถึงหัวหน้าแท้ๆ เห็นได้ชัดว่า บทบาทถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บ่งชี้โดยสภาพกาล (ร่างกาย) จนท้ายสุดเกือบจะถูกแยกร่าง โดยพ่อตาของเขาเอง โชคดีที่พระเอกของเราหนีลี้รอดมาได้ ถึงอย่างนั้น เขาเองรู้ดีว่า ที่เดียวที่เขาจะไปได้ ที่ๆเดียวสำหรับคนสภาพแบบเขาคือ District 9

โชคดีหรือร้ายไม่รู้เมื่อเขาไปที่ District 9 แล้วก็ได้ไปพบกับ คริสโตเฟอร์ เอเลี่ยนลูกติด ผู้ซึ่งเป็นพ่อที่ดีและมิตรผู้ช่วยเหลือในเวลาต่อมา น่าขำที่ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ วีคัส แสดงศักดาความเป็นมนุษย์ด้วยการขู่กรรโชกให้คริสโตเฟอร์เซ็นต์เอกสารเพื่อย้ายถิ่นฐาน ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาลูกของคริสโตเฟอร์ไป ตอนนี้บทบาทถูกเปลี่ยน วีคัสเป็นฝ่ายต้องขอความช่วยเหลือเมื่อรู้ว่า คริสโตเฟอร์ มีวิธีทำให้เขาเป็นมนุษย์เหมือนเดิมได้ แต่ทั้งสองต้องบุกไปเอาสารบางอย่างที่สำนักงาน ส.น.ส. ตรงนี้จะเห็นว่า คริสโตเฟอร์ใจกว้างพอ ที่จะช่วยมนุษย์ชั่วๆ แบบ วีคัส

วีคัสผู้ตกอยูในสภาพราวกับเป็นจัณฑาลสองสายเลือด คือ มนุษย์และเอเลี่ยน ตกที่นั่งลำบากอย่างยิ่งยวด มนุษย์ไม่ต้องการเขา หรือแม้แต่คนดำ (ชนชั้นสอง) ก็ัยังปฎิบัติกับวีคัสด้วยสายตาไร้ความเมตตา ถึงขนาดจะตัดแขนเอามากิน วีคัสแม้จะเป็นเอเลี่ยนเพียงเสี้ยวเดียว ก็ถูกมองเหมือนหมดความเป็นมนุษย์เสียแล้ว แม้วีคัสจะเคยมีสภาพเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งก็ตาม แต่การที่เขาต้องกลายมาเป็นกึ่งคนกึ่งเอเลี่ยน หรือสภาพจัณฑาล ก็ทำให้เขาตกอยู่ล่างสุดในสารระบบ วีคัสแสดงความเป็นมนุษย์เห็นแก่ตัวตอนที่ตัวเองอยากจะขับยานเพื่อหนีไปขึ้นยานเพื่อรักษาตัว แต่อย่างน้อยวีคัสก็ยังพอมีด้านดี (ด้านดีอาจเป็นด้านเอเลี่ยนก็ได้) ที่ยอมมาช่วยคริสโตเฟอร์ โดยเอาชีวิตตัวเองเข้ามาเสี่ยง

ความดีของเรื่องนี้คือ การแสดงให้เห็นมิตรภาพของคนกับเอเลี่ยนที่ก่อกำเนิดจากสภาพเหตุการณ์บังคับ นำมาซึ่งความเห็นอกเห็นใจกัน แก่นนี้อาจดูไ่ม่แปลกเพราะเห็นมานักต่อนัก แต่เห็นครั้งแรก ระหว่างคนกับเอเลี่ยนก็เรื่องนี้แหละ

เมื่อดูจบเรื่องอย่างหนึ่งที่แวบขึ้นมาในหัวเราคือ ความแตกต่างของมนุษย์กับเอเลี่ยน (ที่เราเรียกเขาว่า สัตว์) มนุษย์ผู้อยู่สูงสุดกลับเป็นกลุ่มที่มีจิตใจต่ำช้าที่สุด เห็นแก่ตัว หลงในอำนาจ เห็นได้จากการที่ วีคัส ผู้ซึ่ง(ยังคง)มีสภาพเป็นมนุษย์อยู่กึ่งหนึ่ง ถูกมนุษย์ด้วยกันปฎิบัติต่อเยี่ยงเอเลี่ยน นั้นแสดงให้เห็นถึงความมืดบอดของจิตใจอันเห็นแก่ตัว ผลประโยชน์ต้องมาก่อน เช่น ต้องแยกร่าง วีคัส เพื่อเอาไปทดลอง เพื่อเอาที่จะสามารถใช้อาวุธได้-àเพื่อก่อสงคราม-นำมาซึ่งผลประโยชน์และการเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ส่วนเอเลี่ยนอย่างคริสโตเฟอร์ มีความหวังที่จะได้ช่วยพวกพ้องให้พ้นจากสภาพอันน่าสมเพชอย่างที่เป็นอยู่แม้ว่าต้องพยายามเป็นแรมปี เป็นต้นว่า แม้แต่เอเลี่ยนยังจิตใจสูงกว่ามนุษย์ในเรื่องนี้

ที่แท้ความดีหรือความชั่วมันก็อยู่ที่มายาคติสิ่งที่เรานึกคิดเอง ไอที่ว่าหน้าตาดีๆ การศึกษางามๆ มันอาจไม่ได้ดีไปกว่า คนธรรมดาอย่างเราๆ จิตใจสูงมันมิได้พกผันตามการศึกษาหน้าตาสังคมไปเสียทุกกรณีหากแต่ ดูกันที่แก่นของจิต ว่าความเห็นแก่ตนมันเกาะกินจิตใจแค่เพียงไหน หากมีมาก ก็คงอยากได้มาก เป็นไปเสียอย่างนั้นแหละ

Wednesday, August 12, 2009

Lars and the real girl : ผมรักตุ๊กตา



Lars and the real girl : ผมรักตุ๊กตา

ได้มีโอกาสหาหนังเรื่องนี้มาดู ด้วยความที่ว่าพล็อตเรื่องดูน่าสนใจเหลือเกิน มันคือเรื่องราวของ “ลาห์”หนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเมืองหนาวเล็กๆแห่งหนึ่ง ด้วยวัย 27 ปี เขามีปัญหาด้านการเข้าสังคมกับผู้อื่น วันหนึ่งเขาตกหลุมรักกับตุ๊กตายางที่สั่งจากอินเตอร์เน็ต แน่นอนว่า ฟังแล้วอาจคิดว่าเป็นหนังสัปดน ตลกคอมมิดี้หรือเปล่า เปล่าเลยมันกลับละมุนละไมอุ่นไปด้วยความรัก

“บิอังก้า” คือผู้หญิงที่ลาห์หลงรัก แต่เธอเป็นตุ๊กตายาง ในบางคราวเรามักลืมไปชั่วขณะว่าเธอเป็นตุ๊กตา เพราะหนังทำให้เราเห็นว่า เธอเป็นเหมือนสมาชิกคนหนึ่งในสังคม มีความสำคัญต่อเรื่องๆนี้ อดคิดไม่ได้ว่าเธอก็มีชีวิตเหมือนกัน เพราะในสังคมเล็กๆที่ลาห์อยู่ ต่างต้อนรับบิอังก้าเป็นอย่างดี มันเป็นเรื่องแปลก ที่คนในสังคมจะยอมรับ ผู้ชายคนหนึ่งที่แนะนำตุ๊กตายางว่าเป็นคนรักของเขา แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เพราะพวกเขารักลาห์ต่างหาก เมื่อบิอังก้าเป็นคนที่ลาห์รัก บิอังก้าก็เป็นหนึ่งเดียวกับสังคมเช่นกัน

พฤติกรรมของลาห์แล้วแม้ดูน่าหัวเราะ แต่แท้จริงแฝงความผิดปกติทางจิตไว้ ลาห์มีภาพหลอน(Illusion)หรือจิตหลอนว่า บิอังก้ามีชีวิต เขาพูดคุย หยอกล้อ ดูแล หรือแม้แต่ทะเลาะกับเธอ เหมือนกับว่าบิอังก้าสามารถโต้ตอบกับเขาได้ เอาเข้าจริงแล้ว ถ้าถามว่า พูดคุยกับตุ๊กตาแปลกไหม จริงๆแล้วไม่แปลก เพราะเหมือนกันเวลาเราคุยกับหมากับแมวที่เราเลี้ยง หรือแม้แต่ตุ๊กตา (แน่นอนเราไม่หวังให้มันตอบ) แต่มันเป็นทางเลือกหนึ่งแห่งการระบายอารมณ์ ทำให้เราหายเหงา ได้พูดคุยสื่อสารยามที่เราไม่สามารถสื่อสารกับใคร มันไม่สามารถเดินหนีเราไป ทำหน้าบึ้งเมื่อไม่พอใจ หรือเลือกที่จะไม่ฟังเราได้ มันเป็นผู้ยอมรับฟังโดยดุษฎี ที่กล่าวมานี่เอง คงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ ลาห์ผู้ไม่สามารถมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อื่นได้ หรือแม้แต่โดนตัวผู้อื่น สามารถอยู่ใกล้ๆบิอังก้าได้ สิ่งต่างๆที่ทำให้ลาห์มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะแม่ของเขาเสียชีวิตแต่เด็ก พี่ชายทิ้งไปอยู่ที่อื่นทำให้เขาต้องอยู่กับพ่อผู้โศกเศร้า แม้เราไม่สามารถแน่ใจได้ว่า ชีวิตวัยเด็กของลาห์เป็นเช่นไร แต่เขาคงไม่ได้เข้าสังคม มีเพื่อนสนิท หรือแม้แต่มีแฟน รอบตัวของลาห์จึงเหมือนมีกำแพงกั้นที่แม้แต่พี่ชายของเขาก็เข้าไม่ถึง

บิอังก้า จึงเป็นเหมือนตัวประสาน ลาห์ใช้การสื่อสารพูดคุยกับบิอังก้า ทำให้เขาไม่ต้องอยู่กับตัวเองจนเกินไป บิอังก้าทำให้เขามีความสุข ช่วยรักษาเขาทีละน้อยจากอาการที่เป็นอยู่ เป็นตัวเชื่อมระหว่างลาห์กับคนในสังคม ที่น่ารักคือคนอื่นๆในสังคมก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ ปฎิบัติต่อบิอังก้าเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง และเธอก็เป็นที่รักของคนในสังคมด้วย เวลาที่บิอังก้าป่วย (ลาห์คิดว่าป่วย) แท้จริงแล้วการที่บิอังก้าถูกพาไปหาหมอ ก็คือการที่ลาห์ได้ไปหาหมอโดยไม่รู้ตัวในระหว่างที่รอบิอังก้า เขาได้พูดคุยกับหมอ เข้าใจตัวเองมากขึ้น ปมในจิตใจค่อยๆคลายไปทีละน้อย


การที่ลาห์ได้มีความสัมพันธ์กับบิอังก้า (เหมือนเป็นแฟนกัน) ทำให้ลาห์ได้เข้าสังคมมากขึ้น จนในวันหนึ่งที่ลาห์ค้นพบว่า ตนเองสามารถกล้าคุยกับคนอื่นได้ รวมถึงเพื่อนร่วมงานหญิงที่รู้จักกัน แต่การที่เขาไม่ต้องการจะนอกใจบิอังก้า ทำให้เขาเกิดความขัดแย้งขึ้นในจิตใจตัวเอง ซึ่งท้ายสุดแล้วบิอังก้าที่จิตของลาห์ได้สร้างขึ้น ได้ถูกกลไกของจิตจัดการออกไป ไม่เลย ลาห์ไม่ได้ใจร้าย ทุกสิ่งเป็นไปตามกลไกของมัน ลาห์ตัดสินใจให้บิอังก้าตาย (จากอาการป่วยของเธอ) ในบ่ายไม่มีแดดวันหนึ่ง ที่พวกเขาไปนั่งปิกนิกริมแม่น้ำกัน เมื่อบิอังก้าตาย ก็เป็นจุดจบของความสัมพันธ์นี้ ต้องขอบคุณบิอังก้าที่ทำนหน้าที่เหมือนเรือข้ามฝาก ให้ลาห์ผ่านกำแพงจนสามารถมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงจริงๆได้เสียที


เมื่อบิอังก้าจากไป ทุกคนต่างเศร้าโศก รวมถึงลาห์ แต่สำหรับเขาแล้วการจากไปของบิอังก้า กลายเป็นจุดเริ่มต้นหลายอย่างในชีวิตของเขา ที่หลายต่อหลายอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
นี่เป็นหนังที่ฉันรู้สึกว่ามันน่ารักมากที่เดียว เพราะบางทีตอนดูก็ทำให้ได้ยิ้ม ในท่าทางแปลกๆที่คนพยายามจะยอมรับตุ๊กตาในสังคมเล็กๆของพวกเขาให้ได้ รวมๆแล้วเป็นหนังน่ารัก เป็น coming of age วัยผู้ใหญ่ที่ทำได้ดีมากเลยทีเดียว รับรองไม่ผิดหวังค่ะ

Sunday, August 9, 2009

once : ครั้งหนึ่งนั้นที่เรารักกัน


(มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องเล็กน้อย)

ได้รับคำกล่าวขานกันมาจากหลายคน ถึงความไพเราะของ soundtrack จากเรื่องนี้ ซึ่งฟังแล้วก็ไม่ผิดหวัง แล้วก็ตัวเนื้อเพลงก็สามารถบอกเล่าเรื่องราว ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้อย่างดีทีเดียวเชียว

Once เป็นเรื่องของคนสองคนที่บังเอิญได้มาพบกัน โดยมีดนตรีช่วยเชื่อมความสัมพันธ์เล็กๆของพวกเขา พวกเขาไม่มีชื่อเรียก แต่ขอเรียกว่า เขาและเธอ เราอาจไม่รู้จักเขามากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันของเขาและเธอ คือ ความรัก ที่ยังอยู่ในใจของเหล่าคนห่างไกลที่พวกเขารัก ซึ่งความรักที่ยังค้างใจ ก็เป็นเหมือนแรงผลัก และเป็นที่มาของเพลงเพราะๆ ซึ่งจะว่าไป แต่ละเพลงมีความหมายมาก แทนที่จะเราจะได้ทราบพื้นเพของตัวละครจากการเล่าเรื่องแบบหนังเรื่องอื่นๆ มันกลับมาผ่านเพลง ที่ไม่ได้เล่าเรื่อง แต่เล่าความรู้สึกของเขาและเธอ เป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดกับใครก็ได้บนโลกนี้

เขามีคนที่รักมาก ผู้ซึ่งเป็นต้นตอของเพลงทั้งหลายที่เขาแต่งขึ้นมา และอาจจะไม่ต้องพูดสักคำเลยว่า รักมากขนาดไหน

เธอ มีภาระครอบครัว และลูกสาวเล็กๆที่ต้องดูแล และสามีที่อยู่ห่าง

ความใกล้ชิดของทั้งสองคนเป็นเพียงแค่การเล่นดนตรี แต่เราจะมองเห็นและได้ยินบางอย่างในนั้น ตอนที่เขาเล่นกีต้าร์และเธอบรรเลงเพลงด้วยเปียโน แค่เรามองปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่า เขาและเธอ “รู้สึกดีๆ” ต่อกัน (รวมถึงเป็นแรงผลักดันให้เขา กล้าที่จะไปหาคนรักเก่าด้วย) แบบมองตาก็รู้ใจ แต่พูดไม่ได้ ด้วยหลายสิ่ง ชีวิตรวมๆภาระหน้าที่ เป็นความรักแบบคนที่โตๆกันแล้ว ที่ไม่ได้มีแรงขับด้วย sex หรือความใคร่ แต่เป็นความรู้สึกแบบละมุนละไม มีดนตรีคลอ แบบที่ทำให้เรานิ่งฟัง เป็นความรักที่ท่วมท้นแต่ไม่ถาโถมรุนแรง

เธออาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขา ไปหาคนรักเก่าที่ลอนดอน (อย่างน้อยฉันคิดอย่างนั้น) มันเหมือนเมื่อหัวใจเราถูกเติมเต็มด้วยอะไรบางอย่าง หลังจากที่หัวใจเราอยู่นิ่งมานาน เมื่อหัวใจอบอุ่น มันจะทำให้เรานึกถึงบางสิ่งที่มากกว่านั้น คนที่เขาอยากกลับไปหา ความรักของเขาที่ให้เธอก็อาจเป็นเพียงหวังให้กันและกันมีความสุข

คนรักเก่าของเขาอาจรอคอยเขาอยู่ที่ลอนดอนก็เป็นได้ เพียงแต่เขาไม่กล้าที่จะไปหาเธอก็เท่านั้นเอง ซึ่งดูให้ดีเป็นโครงสร้างเดียวกันกับความรักของเธอ ผู้ที่สามีอยู่อีกที่หนึ่ง หลังจากที่เขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะไปลอนดอน ไปหาความรักและเสี่ยงโชคทางดนตรี สามีของเธอก็กำลังกลับมาเช่นกัน ชีวิตของทั้งคู่ต่างเหมือนกัน แต่ต่างกรรมต่างวาระ


เป็นหนึ่งเรื่องเล็กๆ ของคนเล็กๆสองคน ไม่เวอร์ ไม่หวือหวา ถ่ายแบบไม่ปรุงแต่งมากนัก (Handheldก็หลายฉาก) เป็นเรื่องที่ดูจริง จนทำให้คิดว่า วันหนึ่งเราอาจเคยเดินสวนกับ เขา หรือ เธอมาแล้วก็ได้ เหมือนว่าเรานั่งดูเรื่องราวของบางคนอยู่ ไม่ใช่หนังดูหนัง ส่วนตัวติดนิดหนึ่ง ตรงที่เป็นเพลง เป็นส่วนน้ำหนักสำคัญค่อนข้างเยอะ (ไม่ได้คิดไว้ก่อนว่าจะเยอะขนาดนี้) แต่บังเอิญเพลงเพราะถูกใจ เลยพอรับได้ (ฮา) แต่จะว่าไปก็เหมือนหนังเพลงที่ไม่หวือหวาเรื่องหนึ่ง เพราะมันเล่าเรื่องด้วยเพลง เพียงแต่ตัวละครไม่ได้มาร้องเล่นเต้นแร้งเต้นกา แบบหนังเพลงเท่านั้นเอง แต่ว่าเพลงเพราะจริงๆนะ อีกอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ดูแล้วนึกถึง Before Sunrise ยังไงก็ไม่รู้ด้วยบรรยากาศ แสง เนื้อหาและความรู้สึกหล่ะมั้ง

สำหรับเรื่อง once

เป็นอีกครั้ง ที่ความรักไม่ได้หมายความให้คนสองคนต้องอยู่ด้วยกัน เพียงได้แต่เก็บเอาความรู้สึกไว้ ความรักไม่ได้หวานตรึงใจ แต่มีค่าควรที่นึกถึง

ว่า ครั้งหนึ่งนั้นที่เรารักกัน…



Filmsyndrome ทิ้งท้าย : ตัวหนังเรียบง่าย เพลงเพราะ ไม่ได้ชอบมาก แต่ดูแล้วอิ่มใจระดับหนึ่ง

ฝากเพลงเพราะจากเรื่องไว้
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?Autoplay=0&songID=V2B7C440PA0

Wednesday, February 18, 2009

ดรีมทีม : รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย

ภาพยนตร์เรื่อง ดรีมทีม กำกับโดยคุณ เรียว กิตติกร เลียวศิริกุล ต่อจากผลงานล่าสุด เมล์นรก หมวยยกล้อ ที่กลับมาพร้อมกับหนังเด็กๆ ไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่เป็นเด็กอนุบาลกำลังซน

ดรีมทีม ากเรื่องแฟนฉัน แต่เรื่องนี้เด็กกว่าอีก เพราะเป็นเด็กอนุบาล ฉันเองก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับเด็กๆมากนัก บางทีเพราะอาจจะวัยที่ห่าดfiดดดรเป็นเรื่องน่ารักๆเกี่ยวกับการแข่งขันชักเย่อของเด็กอนุบาลเพื่อเข้าร่วมแข่งขันกับคู่แข่งโรงเรียนอื่นๆ งานนี้มีอาจารย์ผู้มุ่งมั่นอย่างครูหนูเล็ก ผู้เชื่อมั่นในลูกศิษย์ตัวน้อยๆ และโค้ช เขี้ยวลากดิน ซึ่งต้องมาฝึกซ้อมการชักเขย่อกับเจ้าหนูแสนซนราวๆสิบคน เรื่องราวอาจจะไม่ซับซ้อนและคาดเดาตอนจบได้ไม่ยากนัก แต่ระหว่างทางในการเล่าเรื่อง ทำให้ได้มุมมองหลากหลาย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเด็กตัวน้อยๆ และผู้ปกครอง เราเห็นมุมมองของผู้ปกครองหลายแบบหลายอย่าง ทั้ง คุณแม่เจ้ดัน อยากให้ลูกของเธอได้เป็นกับตันทีม คุณพ่อคนซื่อที่อยากให้ลูกเขาเพียงแค่ได้ลงแข่ง คุณพ่อนักธุรกิจที่อยากให้ลูกหวังสูงมองถึงชัยชนะเข้าไว้

หนังเล่าเรื่องลูกสองวัยคือ เด็กๆที่กำลังแข่งจะแข่งชักเย่อกับผู้ปกครองของพวกเขา กับโค้ช ในหน้าที่ลูก(โตแล้ว)กับคุณแม่ยามชรา โค้ชอาจจะเป็นตัวอย่างของเด็กซึ่งโตมาแบบไม่เข้าใจกับแม่นัก ด้วยความที่แม่บางทีก็เอาแต่ใจ ชอบตัดพ้อต่อว่าลูก (หรืออาจจะเป็นเพราะว่าแก่แล้ว) ตัวโค้ชเองก็อาจจะโตมาอารมณ์ร้ายหงุดหงิดง่ายเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้ ทั้งที่จริงแล้ว โค้ชเป็นคนใจดี กับเด็กๆที่กำลังเติบโตท่ามกลางผู้ปกครองหลายแบบ หลากสถานการณ์กันไป

ตอนที่เราเป็นเด็กเราอาจไม่ได้คิดถึงชัยชนะในการแข่งขันกีฬามากนัก เพราะว่า สิ่งที่ได้จากกีฬาคือการพัฒนาศักยภาพ และได้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อน เด็กอาจไม่ได้อยากชนะ แต่ผู้ใหญ่สิอยากจะชนะ เรากลับเอาความคิดเรื่องผู้ชนะไปยัดใส่หัวเด็กๆ ทั้งที่วัยเด็กเป็นวัยที่ควรเปิดกว้าง

สุดท้ายแล้วทำให้เราลองกลับมาคิดว่า ถ้าหากเมื่อเด็กแพ้ มันกลับทำให้เขาผิดหวัง เพราะผู้ใหญ่คาดหวังกับเขาเกินไป หนังเน้นหนักเรื่องการที่ผู้ใหญ่คาดหวัง กับเรื่องชัยชนะของเด็กที่ลืมนึกถึงความรู้สึกของเด็ก ทำให้เด็กพาลไม่อยากจะแข่งไปอย่างนั้น โดยการที่พร่ำบอกให้ชนะๆ บางทีก็ลืมคิดไปว่า ลูกจะรู้สึกอย่างไร ความกดดันเป็นกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่อย่างเราๆ มีคนบอกให้ชนะๆ ไม่งั้นโกรธนะ ความรู้สึกกดดันคงท่วมท้นเรา คิดดูถ้าเป็นเด็กตัวน้อยๆ เขาไม่สามารถรับความกดดันทั้งหลายทั้งปวงได้ อย่างเดียวกับการบังคับให้เด็กเข้าเรียนพิเศษ ต้องสอบเข้าโรงเรียนดีๆ ต้องฉลาด เราจับเอาความทะเยอทะยานแบบผู้ใหญ่ ใส่ในตัวเด็ก คงไม่น่าแปลกใจ ถ้าเด็กต้องโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ต่อไป

บางคนอาจจะเดาได้ว่าบทสรุปของหนังเป็นอย่างไร อันนี้ไม่ขอเล่าแต่ขอให้ไปชมกันเอง ถึงแม้จะเดาได้ แต่ก็ทำได้ออกมาแบบมีชั้นเชิง นักแสดงเด็กๆในเรื่องเล่นกันได้น่ารัก แต่พอจะดราม่าขึ้นมาก็เล่นกันได้ขึงขังไม่แพ้นักแสดงผู้ใหญ่เลยทีเดียว หนังเรื่องนี้น่ารักแบบ ผู้ใหญ่ดูได้ เด็กก็ดูดี ซึ่งนานๆทีจะพบได้ในหนังไทยที่ทุกวันนี้ทำแต่หนังตลาดตลกปรุงแต่ง มาดูหนังแบบเว้ากันซื่อๆก็สนุกมิน้อย

Thursday, February 12, 2009

โหด หน้า เหี่ยว : ฮาแบบเรื่องน้อย


ภาพยนตร์เรื่อง โหด หน้า เหี่ยว เป็นผลงานของ ผู้กำกับภาพยนตร์ที่คุ้นเคยกันดีในความฮา มุขตลก และความน่าหยิกหยอก อย่าง แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า คุณฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร นั่งเอง

โหด หน้า เหี่ยวเป็นเรื่องของ สอง คลองเตย (จาตุรงค์ มกจ็ก) นักเลงที่ติดคุกแล้วออกมาเพื่อชำระแค้น กับไท ไดมารู ผู้เคยแย่งชิงคนรักของเขาไป ซึ่งเนื้อเรื่องก็มีแค่นี้จริงๆ ทำให้รู้สึกว่า ความเป็นเนื้อเรื่องยังอ่อนไปมาก แม้ว่ามีการสอดแทรกบุคลิกเรื่องราวของตัวละครอย่าง นักเลงเก่าที่เป็นเพื่อนสอง อย่างมงคล รามา เจ้าของร้านวิดีโอหนังไทยแสนเก่า เปี้ยก สมิท นักเลงเซียนพระ หรือลูกสาว กิ้ฟ (เล่นโดย (จ๋า ณัฐฐาวีรนุช) ซึ่งเป็นนักร้องคาเฟ่

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่ตัวละครมีเรื่องราวในตัวเองก็ดี แต่ได้แตะแค่ตัวละอย่างละนิดอย่างละหน่อย คนนั้นทำอะไร คนนี้ทำอะไร แต่ไม่ได้ทำให้เรื่องราวขับเคลื่อนมาได้เท่าใดนัก ทั้งๆที่ตัวละครเด่นอย่าง สอง คลองเตย เรากลับไม่ได้ทราบอะไรเกี่ยวกับตัวละครนี้มากนักนอกจากความเป็นมาเล็กๆน้อย และสิ่งที่ทำให้เขายังอยู่มาได้ ก็คงเป็นเรื่องการขับเคลื่อนด้วยความแค้น จุดมุ่งหมายคือการ แก้แค้นเพราะโดยแย่งคนรัก อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งคงเป็นเรื่องเด่นของหนังเรื่องนี้ แต่ที่แน่ๆ เราไม่ได้ทราบความเป็นมาของนักเลงเหล่านี้ เคยเป็นเพื่อนกันอย่างไร ทำอะไรกัน ซึ่งถ้ามีเนื้อเรื่องเหล่านี้ แทนที่จะมาเน้นการแก้แค้นในปัจจุบันอย่างเดียว อาจทำให้เรื่องมีน้ำหนักมากกว่านี้ก็เป็นได้

เวลานึกถึงเรื่องที่มีการแก้แค้นอย่างนี้ ทำให้นึกถึงหนังฮ่องกงอยู่เหมือนกัน ด้วยความที่การที่เป็นนักเลง ต้องรักพวกพ้องดังเช่นพี่น้องกัน ถึงขั้นตายแทนกันได้เลยทีเดียว แต่ถึงจะนึกถึงหนังฮ่องกงแต่ใน โหด หน้า เหี่ยว นี้มีดีที่บรรยากาศสไตล์กึ่งๆเกือบ retro แต่แฝงความเป็นไทย ซึ่งก็ดูร่วมสมัยดี ถือว่างานด้าน Art Direction ดูดีมีสไตล์เลยและทำได้สอดคล้องกันทั้งเรื่องเลยทีเดียว (แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของหนังเท่านั้น)

สำหรับเรื่องความฮานี่ว่าไม่ได้จริงๆ เพราะฮาอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางมุขขำมากจนคิดว่า คิดได้ไงเนี่ย บางมุขก็สร้างสรรค์ดี บางมุขก็เล่นกันแรง ถึงเลือดถึงเนื้อเลยทีเดียว ทำให้คิดว่า นี่มัน surreal กึ่ง sadist นี่ แต่หนังตลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ แต่สิ่งที่ไม่ชอบสำหรับเรื่องนี้คือ การที่ตัวละครมาเพื่อฮา เพียงอย่างเดียว คือเป็นตัวละครที่ทำให้แค่ตลกไม่ได้ มีส่วนกับเนื้อเรื่องอะไร (ก็คือตัวประกอบนั่นแหละ) มันเหมือนเอามุข และคนมายำรวมกัน ใส่เนื้อเรื่องไปนิด เสร็จเรียบร้อย แต่ทั้งนี้หากเทียบมาตรฐานคุณภาพกับหนังไทยแนวตลกเรื่องอื่นๆแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าดีกว่า แต่สำหรับส่วนตัวเองแล้ว ชอบเรื่อง แสบสนิท มากกว่า เพราะว่ามีเนื้อเรื่อง การพัฒนาของตัวละคร การคลี่คลายที่ดี

อาจจะติมามาก แต่ก็ไม่ได้เกลียดชังใดๆ เลย เพราะหนังก็ได้สร้างความบันเทิงแบบครบถ้วน ได้อรรถรส หัดไปมองคนข้างๆ(ซึ่งลากไปดู) ก็หัวเราะตัวอ้วน เชื่อว่า ผลงานเรื่องต่อๆไปของคุณ ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร จะมีมุมมองและการพัฒนาไปได้อีกเรื่อยๆแน่นอน

โหด หน้า เหี่ยว ไม่ได้ระบุตายตัวว่ามันอยู่ในยุคไหน ซึ่งมันอาจจะเป็นปัจจุบันก็เป็นได้ หรือมันอาจจะสิบปีมาแล้ว สรุปแล้วคือ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้ทุกยุคทุกสมัยจริงๆ เว้นแค่ ถ้าหากมันเป็นย้อนยุค สมัยก่อนร้านเช่าวิดีโอหนังไทยคงไม่ตกอับขนาด เพราะฉะนั้น มันยุคนี้นั้นแล


Saturday, January 31, 2009

Teeth : เรื่องลับของ....มีฟัน


(มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง+เนื้อหาไม่เหมาะกับเด็กต่ำกว่า 10 ขวบ)


ตอนแรกที่มีคนพูดถึงหนังเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องอวัยวะเพศหญิงมีฟัน คิดไปถึงหนังวัยรุ่นเลือดสาดแบบฮอลลีวู้ดไล่ฆ่ากันสนั่น เป็นหนังคัลต์แบบมันส์ นางเอกเจ้าของฟันในที่ลับออกล่าผู้ชาย แต่พอดูแล้ว มีประเด็นกว่าที่คิด (นิดหนึ่ง)

นางเอกของเราเป็นสมาชิกชมรมรณรงค์การรักษาพรหมจรรย์ (ไม่มีเซ็กซ์ก่อนแต่งงาน) ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ดูเหมือนฝืนความต้องการของร่างกายที่ธรรมชาติสร้างมา จนวันหนึ่งที่เธอพบรัก อะไรมันจะฉุดอยู่ แต่การที่เธอถูกบังคับขืนใจ ไอนั่นของฝ่ายชายจึงถูกกัดซะขาด นางเอกไม่รู้เลยว่าเธอมีอะไรอยู่ในตัว

ตลอดเรื่องเราได้พบแล้วว่า เจ้าฟันนี้จะออกมาเมื่อเวลาเธอมีเซ็กซ์แบบไม่เต็มใจ เมื่อเธอรู้สึกว่ามีอันตรายคุกคาม หรือแม้แต่หลังๆเธอก็เริ่มมีการควบคุมฟันนั่นได้แล้ว มีการเอาเรื่องนิยายปรัมปรา เกี่ยวกับหญิงที่มีฟันในส่วนนั้นซึ่งต้องหาผู้ชายที่จะมาพิชิต อีกด้านหนึ่งในหนังตลอดทั้งเรื่องแทบจะมีฉากหลังของบ้านนางเอกเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ที่อาจทำให้เราอนุมาน(ไปเอง)ได้ว่า เจ้าฟันนี้เกิดจากการได้รับการปนเปื้อน ทำให้เกิดรูปแบบที่ผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้ดูมีที่มาที่ไป

ฟันที่อวัยวะเพศเปรียบเสมือนความกลัวของเพศหญิง ผู้ปกป้องพรหมจรรย์ ป้องกันการรุกล้ำจากบุรุษเพศ หรือมองอีกด้านคือความกลัวของบุรุษเพศต่อเพศหญิง(เพศแม่) สำหรับนางเอกถ้าไม่มีฟันนั้น เธอคงถูกข่มขืน หรือแม้แต่ถูกรุกราน หนังแสดงให้เห็นความหื่นของเพศชาย ที่จ้องจะทำร้ายนางเอก หลอกฟันบ้าง พยายามรุกล้ำบ้าง เจ้าฟันจึงไม่ตัวร้ายเกินไปนัก เมื่อเพศชายแทบจะทั้งเรื่อง ไม่ได้มีความเป็นสุภาพบุรุษ สมควรได้รับการลงโทษอย่างหนักด้วยการโดนตัดเครื่องเพศชาย (ลึงค์)

ในเรื่องจะพบว่ามีอีกตัวละครหนึ่งคือพี่ชายคนละพ่อกับนางเอก ซึ่งเป็นคนค้นพบความลับเรื่องอวัยวะเพศมีฟันของนางเอก ตั้งแต่ตอนเด็ก ซึ่งแน่นอนว่าจำไม่ได้ ว่านิ้วตัวเองเกิดบาดแผลอย่างนั้นได้อย่างไร (คาดว่าน่าจะพยายามเอาไปแหย่นางเอกจึงโดนงับเอา) แต่เรื่องนี้มีผลให้ตัวพี่ชายนี้ไม่นิยมการมีเซ็กซ์แบบปกติ คือนิยมทวารหนักนั้นเอง ซึ่งอาจเกิดจากการฝังใจ และขลาดกลัวอวัยวะเพศหญิงแบบฝังในจิตใต้สำนึก และกลายเป็นคนต่อต้านสังคม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้มีที่มาที่ไปเพียงพอ ที่ทำให้ท้ายเรื่อง นางเอกต้องมาแก้แค้นด้วยการตัดไอนั่นของพี่ชายด้วยฟันซะ ซึ่งเหตุผลที่พอฟังขึ้นเพราะพี่ชายมัวแต่เอาผู้หญิงจนไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของแม่ที่ใกล้ตาย พี่ชายที่ทำร้ายพ่อเธอ แต่ก็นั่นแหละ หนังมีฉาก Incest (เซ็กซ์ในสายเลือด) ซึ่งก็ไม่ค่อยเข้าใจสาเหตุเท่าใดนัก อะไร อย่างไร ทำไม แต่คาดว่า นี้คือตัวละครเพศชายที่สมควรจัดการมากที่สุด ผู้ซึ่งทำร้ายเพศหญิงและเป็นขั้วตรงข้ามกับนางเอก

อย่างไรก็ตามพล็อตเรื่องมีความแหวกแนวอย่างที่ไม่คิดมาก่อน (ฟันที่ตรงนั้นเนี่ยนะ) แต่หลายๆฉากค่อนข้างจะน่ากลัวอยู่สักหน่อย แค่เห็นฉากสิ่งนั้นขาดก็สยองแล้ว (ขนาดเป็นผู้หญิงนะนี่) แต่ให้มองดีๆประเด็นหลักอาจไม่ใช่ฟัน แต่เป็นเรื่องเพศที่ผู้หญิงมักถูกคุกคามทางเพศ ตกเป็นวัตถุทางเพศ โดยไร้ทางสู้ การที่มีฟันเข้ามาอาจทำให้ดูเหมือนว่า ผู้หญิง(นางเอก)มีสิ่งที่จะต่อกรกับผู้ชายชั่วๆ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังต้องใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ถึงจะจัดการได้


เป็นผู้หญิงมันก็อย่างนี้แหละหนา

Monday, December 22, 2008

องค์บาก 2 : การต่อสู้ของ จา พนม


(คำเตือน : มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง)

ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยความชอบเป็นพิเศษของผู้พาไป ซึ่งดูเป็นรอบที่สองแล้ว พอออกจากโรงมาเขาก็ใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่า ฉันจะพูดว่าอย่างไร ฉันไม่ได้ว่าอย่างไร แค่พูดไปตามที่คิด เขาถึงกับผิดหวัง(เล็กๆ)

จา พนม ทำให้เราได้อึ้งกับความสามารถของเขา ตั้งแต่ องค์บาก จนถึง ต้มยำกุ้ง และเชื่อว่า เขาคงเป็นฮีโร่ของใครหลายๆคน ซึ่งฉันเองก็ทึ่งในความสามารถทางการต่อสู้ของเขา มาถึง องค์บาก2 ก็เช่นกัน สำหรับใครที่อยากเห็นการต่อสู้ของเขารับรอบว่า ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะมีให้ชมจนจุใจ แต่ก็จุเสียจน เหมือนตอนเรากินอะไรอร่อยๆเยอะๆ อิ่มมากๆก็ไม่สบายท้องเอาเสียเลย

เรื่องราวของ องค์บาก 2 ดูแล้วนึกถึงพล็อตหนังกำลังภายใน แบบพระเอกต้องแก้แค้น แต่ก่อนหน้านั้นต้องฝึกวิชากับอาจารย์หรือสำนักเสียก่อน ฝึกวิชาเสร็จแล้ว ไปลุยแก้แค้นเลย จากนั้นก็รู้ดำรู้แดงกันเห็นๆ เรื่องราวคลี่คลายและจบในที่สุด แต่หนังเรื่องนี้แปลกมาก ไม่ได้ตำหนิว่า เนื้อเรื่องไม่ดี หรือว่าอย่างไร เพราะเรื่องก็เหมาะสมแล้ว แต่ถ้าอัตราส่วนของทั้งเรื่องคือ 100 ปริมาณฉากดำเนินเรื่อง คือ 10 เท่านั้นเอง นั่นหมายความถึง การเอาเรื่อง 1 ต่อ 10 ส่วน ส่วนที่เหลือคือ ฉากที่เป็นการต่อสู้ เสียเป็นส่วนใหญ่ (ก็ระหว่างฝึกวิชาไง) ไม่ได้หมายว่า ฉากเหล่านั้นไม่มีความหมาย แต่บางทีมันมากเสียจน ไปทำอย่างอื่นได้แล้ว การต่อสู้ในเรื่องพบว่า เป็น real time แทบไม่ได้ตัดทิ้งเลย (เพื่อนฉันพูดติดตลกว่า เหมือนเกมต่อสู้ไงอย่างงั้น คนหนึ่งตาย อีกคนต่อ)

อย่างไรก็ตามฉากต่อสู้ ก็อลังการน่าทึ่ง มีการผสมผสานการต่อสู้แบบหลายแขนง ทั้งจีน ไทย ผสมผสานประยุกต์ แต่อย่างที่บอกว่า เมื่อมีฉากเหล่านี้มากเกินไป สุดท้ายไม่ได้พบฉากที่น่าจดจำเลยสักฉาก ทุกอย่างก็เลยกลายเป็นธรรมดาไป ไม่เด่นสักอัน จา พนม สู้ สู้ สู้ สู้ กับคนนั้น คนโน้น คนนี้ และมีฉากที่พูดแค่ ไม่เกินสามครั้ง ซึ่งน้อยกว่าคนอื่นเสียอีก เรื่องจะเล่าด้วย จา พนม ตอนเด็ก เสียมากกว่า

เรื่องที่ตะหงิดๆใจก็เห็นจะพูดไปแล้ว ของความยาวของฉากต่อสู้ที่มากมาย แต่ที่ต้องติจริงๆ คือ ฉากรำหน้าพระที่นั่ง ซึ่งมีความยาวมาก real time เช่นกัน ทำให้รู้สึกว่า บางทีตั้งใจที่จะทำให้มันยาวอย่างนั้นหรือ ไม่ตัดเลย ดูมีความอลังการ exotic ดี แต่ใส่มาจนเสียน่าหลับ และ ตอนแรกบางทีฉันก็รู้สึกไปเอง ว่าทำไมภาพบางฉากมัน out of focus แต่เพื่อนของฉันก็เห็นเหมือนกัน ซึ่งบางทีก็อาจจะเป็นสไตล์ของผู้กำกับภาพหรืออย่างไร

ผู้รู้บอกว่า หนังเรื่องนี้ ตอนแรก จา พนม ตอนแรกไม่รู้ว่ามันแบ่งเป็น 2 ภาค ซึ่งนั่นอาจเป็นที่มาของความยาวในฉากต่างๆก็เป็นได้ เพราะต้องพยายามดึงดันให้มันจบเรื่องเสียจนได้ ทั้งที่ความจริง พล็อตขนาดนี้ไม่น่าจะแบ่งยาวได้ถึง หนังสองเรื่อง (แต่ก็เป็นไปแล้ว) หนังเรื่องนี้จึงจบลงแบบห้วนๆ งงๆ ว่ามันจบแล้วแน่นะ

สุดท้ายแล้วฉันไม่ได้ผิดหวังอะไร แต่ก็ดีใจที่ จา พนม กลับมา พร้อมกับหนังที่ถ้าฉันเป็นคนต่างชาติ ต้องชอบอย่างแน่นอน เพราะดิบ และ สู้สะใจจริงๆ