Wednesday, February 18, 2009

ดรีมทีม : รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย

ภาพยนตร์เรื่อง ดรีมทีม กำกับโดยคุณ เรียว กิตติกร เลียวศิริกุล ต่อจากผลงานล่าสุด เมล์นรก หมวยยกล้อ ที่กลับมาพร้อมกับหนังเด็กๆ ไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่เป็นเด็กอนุบาลกำลังซน

ดรีมทีม ากเรื่องแฟนฉัน แต่เรื่องนี้เด็กกว่าอีก เพราะเป็นเด็กอนุบาล ฉันเองก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับเด็กๆมากนัก บางทีเพราะอาจจะวัยที่ห่าดfiดดดรเป็นเรื่องน่ารักๆเกี่ยวกับการแข่งขันชักเย่อของเด็กอนุบาลเพื่อเข้าร่วมแข่งขันกับคู่แข่งโรงเรียนอื่นๆ งานนี้มีอาจารย์ผู้มุ่งมั่นอย่างครูหนูเล็ก ผู้เชื่อมั่นในลูกศิษย์ตัวน้อยๆ และโค้ช เขี้ยวลากดิน ซึ่งต้องมาฝึกซ้อมการชักเขย่อกับเจ้าหนูแสนซนราวๆสิบคน เรื่องราวอาจจะไม่ซับซ้อนและคาดเดาตอนจบได้ไม่ยากนัก แต่ระหว่างทางในการเล่าเรื่อง ทำให้ได้มุมมองหลากหลาย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเด็กตัวน้อยๆ และผู้ปกครอง เราเห็นมุมมองของผู้ปกครองหลายแบบหลายอย่าง ทั้ง คุณแม่เจ้ดัน อยากให้ลูกของเธอได้เป็นกับตันทีม คุณพ่อคนซื่อที่อยากให้ลูกเขาเพียงแค่ได้ลงแข่ง คุณพ่อนักธุรกิจที่อยากให้ลูกหวังสูงมองถึงชัยชนะเข้าไว้

หนังเล่าเรื่องลูกสองวัยคือ เด็กๆที่กำลังแข่งจะแข่งชักเย่อกับผู้ปกครองของพวกเขา กับโค้ช ในหน้าที่ลูก(โตแล้ว)กับคุณแม่ยามชรา โค้ชอาจจะเป็นตัวอย่างของเด็กซึ่งโตมาแบบไม่เข้าใจกับแม่นัก ด้วยความที่แม่บางทีก็เอาแต่ใจ ชอบตัดพ้อต่อว่าลูก (หรืออาจจะเป็นเพราะว่าแก่แล้ว) ตัวโค้ชเองก็อาจจะโตมาอารมณ์ร้ายหงุดหงิดง่ายเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้ ทั้งที่จริงแล้ว โค้ชเป็นคนใจดี กับเด็กๆที่กำลังเติบโตท่ามกลางผู้ปกครองหลายแบบ หลากสถานการณ์กันไป

ตอนที่เราเป็นเด็กเราอาจไม่ได้คิดถึงชัยชนะในการแข่งขันกีฬามากนัก เพราะว่า สิ่งที่ได้จากกีฬาคือการพัฒนาศักยภาพ และได้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อน เด็กอาจไม่ได้อยากชนะ แต่ผู้ใหญ่สิอยากจะชนะ เรากลับเอาความคิดเรื่องผู้ชนะไปยัดใส่หัวเด็กๆ ทั้งที่วัยเด็กเป็นวัยที่ควรเปิดกว้าง

สุดท้ายแล้วทำให้เราลองกลับมาคิดว่า ถ้าหากเมื่อเด็กแพ้ มันกลับทำให้เขาผิดหวัง เพราะผู้ใหญ่คาดหวังกับเขาเกินไป หนังเน้นหนักเรื่องการที่ผู้ใหญ่คาดหวัง กับเรื่องชัยชนะของเด็กที่ลืมนึกถึงความรู้สึกของเด็ก ทำให้เด็กพาลไม่อยากจะแข่งไปอย่างนั้น โดยการที่พร่ำบอกให้ชนะๆ บางทีก็ลืมคิดไปว่า ลูกจะรู้สึกอย่างไร ความกดดันเป็นกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่อย่างเราๆ มีคนบอกให้ชนะๆ ไม่งั้นโกรธนะ ความรู้สึกกดดันคงท่วมท้นเรา คิดดูถ้าเป็นเด็กตัวน้อยๆ เขาไม่สามารถรับความกดดันทั้งหลายทั้งปวงได้ อย่างเดียวกับการบังคับให้เด็กเข้าเรียนพิเศษ ต้องสอบเข้าโรงเรียนดีๆ ต้องฉลาด เราจับเอาความทะเยอทะยานแบบผู้ใหญ่ ใส่ในตัวเด็ก คงไม่น่าแปลกใจ ถ้าเด็กต้องโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ต่อไป

บางคนอาจจะเดาได้ว่าบทสรุปของหนังเป็นอย่างไร อันนี้ไม่ขอเล่าแต่ขอให้ไปชมกันเอง ถึงแม้จะเดาได้ แต่ก็ทำได้ออกมาแบบมีชั้นเชิง นักแสดงเด็กๆในเรื่องเล่นกันได้น่ารัก แต่พอจะดราม่าขึ้นมาก็เล่นกันได้ขึงขังไม่แพ้นักแสดงผู้ใหญ่เลยทีเดียว หนังเรื่องนี้น่ารักแบบ ผู้ใหญ่ดูได้ เด็กก็ดูดี ซึ่งนานๆทีจะพบได้ในหนังไทยที่ทุกวันนี้ทำแต่หนังตลาดตลกปรุงแต่ง มาดูหนังแบบเว้ากันซื่อๆก็สนุกมิน้อย

1 comment: