Monday, December 22, 2008

องค์บาก 2 : การต่อสู้ของ จา พนม


(คำเตือน : มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง)

ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยความชอบเป็นพิเศษของผู้พาไป ซึ่งดูเป็นรอบที่สองแล้ว พอออกจากโรงมาเขาก็ใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่า ฉันจะพูดว่าอย่างไร ฉันไม่ได้ว่าอย่างไร แค่พูดไปตามที่คิด เขาถึงกับผิดหวัง(เล็กๆ)

จา พนม ทำให้เราได้อึ้งกับความสามารถของเขา ตั้งแต่ องค์บาก จนถึง ต้มยำกุ้ง และเชื่อว่า เขาคงเป็นฮีโร่ของใครหลายๆคน ซึ่งฉันเองก็ทึ่งในความสามารถทางการต่อสู้ของเขา มาถึง องค์บาก2 ก็เช่นกัน สำหรับใครที่อยากเห็นการต่อสู้ของเขารับรอบว่า ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะมีให้ชมจนจุใจ แต่ก็จุเสียจน เหมือนตอนเรากินอะไรอร่อยๆเยอะๆ อิ่มมากๆก็ไม่สบายท้องเอาเสียเลย

เรื่องราวของ องค์บาก 2 ดูแล้วนึกถึงพล็อตหนังกำลังภายใน แบบพระเอกต้องแก้แค้น แต่ก่อนหน้านั้นต้องฝึกวิชากับอาจารย์หรือสำนักเสียก่อน ฝึกวิชาเสร็จแล้ว ไปลุยแก้แค้นเลย จากนั้นก็รู้ดำรู้แดงกันเห็นๆ เรื่องราวคลี่คลายและจบในที่สุด แต่หนังเรื่องนี้แปลกมาก ไม่ได้ตำหนิว่า เนื้อเรื่องไม่ดี หรือว่าอย่างไร เพราะเรื่องก็เหมาะสมแล้ว แต่ถ้าอัตราส่วนของทั้งเรื่องคือ 100 ปริมาณฉากดำเนินเรื่อง คือ 10 เท่านั้นเอง นั่นหมายความถึง การเอาเรื่อง 1 ต่อ 10 ส่วน ส่วนที่เหลือคือ ฉากที่เป็นการต่อสู้ เสียเป็นส่วนใหญ่ (ก็ระหว่างฝึกวิชาไง) ไม่ได้หมายว่า ฉากเหล่านั้นไม่มีความหมาย แต่บางทีมันมากเสียจน ไปทำอย่างอื่นได้แล้ว การต่อสู้ในเรื่องพบว่า เป็น real time แทบไม่ได้ตัดทิ้งเลย (เพื่อนฉันพูดติดตลกว่า เหมือนเกมต่อสู้ไงอย่างงั้น คนหนึ่งตาย อีกคนต่อ)

อย่างไรก็ตามฉากต่อสู้ ก็อลังการน่าทึ่ง มีการผสมผสานการต่อสู้แบบหลายแขนง ทั้งจีน ไทย ผสมผสานประยุกต์ แต่อย่างที่บอกว่า เมื่อมีฉากเหล่านี้มากเกินไป สุดท้ายไม่ได้พบฉากที่น่าจดจำเลยสักฉาก ทุกอย่างก็เลยกลายเป็นธรรมดาไป ไม่เด่นสักอัน จา พนม สู้ สู้ สู้ สู้ กับคนนั้น คนโน้น คนนี้ และมีฉากที่พูดแค่ ไม่เกินสามครั้ง ซึ่งน้อยกว่าคนอื่นเสียอีก เรื่องจะเล่าด้วย จา พนม ตอนเด็ก เสียมากกว่า

เรื่องที่ตะหงิดๆใจก็เห็นจะพูดไปแล้ว ของความยาวของฉากต่อสู้ที่มากมาย แต่ที่ต้องติจริงๆ คือ ฉากรำหน้าพระที่นั่ง ซึ่งมีความยาวมาก real time เช่นกัน ทำให้รู้สึกว่า บางทีตั้งใจที่จะทำให้มันยาวอย่างนั้นหรือ ไม่ตัดเลย ดูมีความอลังการ exotic ดี แต่ใส่มาจนเสียน่าหลับ และ ตอนแรกบางทีฉันก็รู้สึกไปเอง ว่าทำไมภาพบางฉากมัน out of focus แต่เพื่อนของฉันก็เห็นเหมือนกัน ซึ่งบางทีก็อาจจะเป็นสไตล์ของผู้กำกับภาพหรืออย่างไร

ผู้รู้บอกว่า หนังเรื่องนี้ ตอนแรก จา พนม ตอนแรกไม่รู้ว่ามันแบ่งเป็น 2 ภาค ซึ่งนั่นอาจเป็นที่มาของความยาวในฉากต่างๆก็เป็นได้ เพราะต้องพยายามดึงดันให้มันจบเรื่องเสียจนได้ ทั้งที่ความจริง พล็อตขนาดนี้ไม่น่าจะแบ่งยาวได้ถึง หนังสองเรื่อง (แต่ก็เป็นไปแล้ว) หนังเรื่องนี้จึงจบลงแบบห้วนๆ งงๆ ว่ามันจบแล้วแน่นะ

สุดท้ายแล้วฉันไม่ได้ผิดหวังอะไร แต่ก็ดีใจที่ จา พนม กลับมา พร้อมกับหนังที่ถ้าฉันเป็นคนต่างชาติ ต้องชอบอย่างแน่นอน เพราะดิบ และ สู้สะใจจริงๆ