Sunday, December 20, 2009

District 9 : ฤามนุษย์จะเห็นแก่ตนเกินแก้


หลายอาทิตย์ก่อนโดนพาไปดู District 9 ด้วยความที่คนพาไปชอบมากถึงกับออกปากว่า “นี่เป็นหนังเอเลี่ยนที่ดีที่สุด แล้วเธอจะลืม Alien ไปเลย” เมื่อไปชมแล้ว ต้องบอกว่าไม่เห็นด้วย ก็นี่มันไม่ใช่หนังเอเลี่ยน มันหนังการเมืองชัดๆ! เมื่อมองกันตรงๆแล้ว District 9 ไม่ใช่หนังเอเลี่ยนหรือสัตว์ประหลาดต่างดาว มันคือหนังที่วิพากษ์การเมืองและสังคม โดยผ่านตัวละครกลุ่มใหม่นั้นคือ เอเลี่ยน (แม้เจ้า คิดได้อย่างไร)

ตัวเนื้อเรื่องใช้การเล่าเรื่องแบบกึ่งสารคดี รูปแบบของหนังสารคดีคือ มีภาพข่าว (ในลักษณะเหมือนของจริง) ฟุตเตจจากการสัมภาษณ์(Talking Head) ภาพจากกล้องวงจรปิด หรือ VTR เราสามารถพบไ้ด้ในหนังเรื่องนี้สลับกับการดำเนินเรื่องแบบภาพยนตร์ จริงๆแล้วจะว่ากึ่งสารคดีก็ไม่ถูกนัก เพราะว่าส่วนที่เป็นสารคดี (ที่ควรจะเป็นเรื่องจริง) มันเป็นเรื่องปลอมทั้งเพนั่นนะซี ทำนองเดียวกับ The Blair Witch Project นั่นแล คือเป็น Mocumentary หรือสารคดีเรื่องปลอมๆที่ทำให้ดูคล้ายเรื่องจริง ด้วยเทคนิคแบบนี้ที่จะสามารถทำให้คนดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง (อย่างน้อยก็ตอนดูหนัง) ว่ามันดูจริงมาก ว่าด้วยเรื่องราวของ เอเลี่ยนพลัดถิ่น ที่ดันตกที่นั่งลำบากมาที่แอฟริกาใต้ จนกลายเป็นพลเมืองชั้นล่างที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ถูกกั้นขวางโดยเฉพาะ นามว่า District 9 เรื่องราวเริ่มต้นตอนที่ มีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อจะขับไล่และจัดการกับเอเลี่ยนใน District 9โดยอพยพไปอยู่ที่อื่น นำโดย วีคัส แวน เดอร์เมอร์เว หัวหน้าหน่วย เนิร์ดหน้าที่และปฏิบัติต่อเอเลี่ยนดังผู้ที่ต่ำต้อยกว่า ซึ่ง แวน คงไม่อาจเข้าใจเรื่องของความเป็นมนุษย์ เรื่องของมิตรภาพระหว่างคนกับเอเลี่ยน เลย หากเขาไม่บังเอิญติดเชื้อและจะกลายพันธ์เป็นเอเลี่ยน

สำหรับฉันมองว่า District 9 เปี่ยมไปด้วยแนวคิดของ Third Cinema ที่ชี้ให้เห็นความอยุติธรรมในสังคมหนึ่งๆ และการต่อสู้เพื่อให้ได้มาเพื่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งว่ากันด้วยการต่อสู้ทางการเมือง ของ 2 ชนชั้น ตัวอย่่างเช่น คนขาว(อยู่เหนือกว่า มีการศึกษามากกว่า) กับ คนดำ(มองว่าด้อยการศึกษาและอาศัยอยู่ในสลัม) , ผู้ที่อยู่ในอำนาจ กับผู้ใต้อำนาจ หรือ รัฐบาลกับพลเมืองตาใส แต่ในเรื่อง District 9 พิเศษกว่าที่กล่าวมามากเพราะมีถึง 3 กลุ่มชนชั้น คือ คนขาว ซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นปกครอง มีการศึกษา อยู่เหนือกว่าชาวพื้นเมืองกลุ่มที่สอง คือ ชาวไนจีเรียน (ถ้าจำไม่ิผิด) ซึ่งเป็นคนดำ อยู่ในฐานะที่ต่ำกว่า บางส่วนอาศัยอยู่ใน District 9 ร่วมกับเอเลี่ยนด้วย และกลุ่มที่สามคือ เอเลี่ยน ซึ่งเป็นชนชั้นล่างสุด ถูกปฎิบัติราวกับสัตว์ก็ไม่ปาน ได้รับการเรียกว่า “กุ้ง” เพราะเอเลี่ยนดำเนินชีวิตด้วยการหาของกินจากขยะ หรือแม้แต่มีอาหารโปรดอย่างอาหารแมว

ในเรื่องเอเีลี่ยนอยู่ในกลุ่มล่างสุด แม้ว่าในหนังหลายๆเรื่องเอเลี่ยนดูจะเป็นผู้มีอารยธรรมสูงกว่ามนุษย์ แต่เอเลี่ยนเรื่องนี้โดนทั้งการถูกดูหมิ่น ขายของให้แบบแพงหูฉี่ ตัดชิ้นส่วนร่างกายมากิน ล้อเล่นเห็นเอเลี่ยนเป็นเรื่องน่าขำจากกลุ่มคนดำ หรือแม้แต่ถูกจับเอาไปทดลองโดยคนขาว (มนุษย์พยายามหาวิธีใช้อาวุธของเอเลี่ยน เพราะมันทำงานกับดีเอ็นเอแบบเอเลี่ยนเท่านั้น) ไม่แปลกที่เอเลี่ยนพยายามจะกลับดาวตัวเอง แต่ดันถูกทำเสียแผนโดย วีคัส การต่อสู้ดูจะหมดหนทาง จนกระทั่ง วีคัสเจ้าปัญหาพบว่าตัวเองกำลังกลายพันธุ์เป็นเอเลี่ี่ยนโดยการได้รับสารบางอย่าง เรื่องราวก็ดูเหมือนเริ่มกลับตะละปัด

เมื่อนั้น วีคัส (ตัวเอกของเรา) กลายเป็นที่ต้องการของมนุษย์อย่างยิ่งยวด เขาโดนจับไปทดลองอาวุธเอเลี่ยน แล้วปรากฏว่าใช้งานมันได้ เพราะแขนข้างหนึ่งเขากลายสภาพแล้ว โอ้ วีคัสผู้บัดนี้จะเป็นเอเลี่ยนก็มิใช่มนุษย์ก็มิเชิง โดนมนุษย์(คนขาว) จับมาทดลองแบบไร้ความปราณี ราวกับว่ามิเห็นความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว ทั้งที่ วีคัสเคยมีบทบาทเป็นถึงหัวหน้าแท้ๆ เห็นได้ชัดว่า บทบาทถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บ่งชี้โดยสภาพกาล (ร่างกาย) จนท้ายสุดเกือบจะถูกแยกร่าง โดยพ่อตาของเขาเอง โชคดีที่พระเอกของเราหนีลี้รอดมาได้ ถึงอย่างนั้น เขาเองรู้ดีว่า ที่เดียวที่เขาจะไปได้ ที่ๆเดียวสำหรับคนสภาพแบบเขาคือ District 9

โชคดีหรือร้ายไม่รู้เมื่อเขาไปที่ District 9 แล้วก็ได้ไปพบกับ คริสโตเฟอร์ เอเลี่ยนลูกติด ผู้ซึ่งเป็นพ่อที่ดีและมิตรผู้ช่วยเหลือในเวลาต่อมา น่าขำที่ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ วีคัส แสดงศักดาความเป็นมนุษย์ด้วยการขู่กรรโชกให้คริสโตเฟอร์เซ็นต์เอกสารเพื่อย้ายถิ่นฐาน ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาลูกของคริสโตเฟอร์ไป ตอนนี้บทบาทถูกเปลี่ยน วีคัสเป็นฝ่ายต้องขอความช่วยเหลือเมื่อรู้ว่า คริสโตเฟอร์ มีวิธีทำให้เขาเป็นมนุษย์เหมือนเดิมได้ แต่ทั้งสองต้องบุกไปเอาสารบางอย่างที่สำนักงาน ส.น.ส. ตรงนี้จะเห็นว่า คริสโตเฟอร์ใจกว้างพอ ที่จะช่วยมนุษย์ชั่วๆ แบบ วีคัส

วีคัสผู้ตกอยูในสภาพราวกับเป็นจัณฑาลสองสายเลือด คือ มนุษย์และเอเลี่ยน ตกที่นั่งลำบากอย่างยิ่งยวด มนุษย์ไม่ต้องการเขา หรือแม้แต่คนดำ (ชนชั้นสอง) ก็ัยังปฎิบัติกับวีคัสด้วยสายตาไร้ความเมตตา ถึงขนาดจะตัดแขนเอามากิน วีคัสแม้จะเป็นเอเลี่ยนเพียงเสี้ยวเดียว ก็ถูกมองเหมือนหมดความเป็นมนุษย์เสียแล้ว แม้วีคัสจะเคยมีสภาพเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งก็ตาม แต่การที่เขาต้องกลายมาเป็นกึ่งคนกึ่งเอเลี่ยน หรือสภาพจัณฑาล ก็ทำให้เขาตกอยู่ล่างสุดในสารระบบ วีคัสแสดงความเป็นมนุษย์เห็นแก่ตัวตอนที่ตัวเองอยากจะขับยานเพื่อหนีไปขึ้นยานเพื่อรักษาตัว แต่อย่างน้อยวีคัสก็ยังพอมีด้านดี (ด้านดีอาจเป็นด้านเอเลี่ยนก็ได้) ที่ยอมมาช่วยคริสโตเฟอร์ โดยเอาชีวิตตัวเองเข้ามาเสี่ยง

ความดีของเรื่องนี้คือ การแสดงให้เห็นมิตรภาพของคนกับเอเลี่ยนที่ก่อกำเนิดจากสภาพเหตุการณ์บังคับ นำมาซึ่งความเห็นอกเห็นใจกัน แก่นนี้อาจดูไ่ม่แปลกเพราะเห็นมานักต่อนัก แต่เห็นครั้งแรก ระหว่างคนกับเอเลี่ยนก็เรื่องนี้แหละ

เมื่อดูจบเรื่องอย่างหนึ่งที่แวบขึ้นมาในหัวเราคือ ความแตกต่างของมนุษย์กับเอเลี่ยน (ที่เราเรียกเขาว่า สัตว์) มนุษย์ผู้อยู่สูงสุดกลับเป็นกลุ่มที่มีจิตใจต่ำช้าที่สุด เห็นแก่ตัว หลงในอำนาจ เห็นได้จากการที่ วีคัส ผู้ซึ่ง(ยังคง)มีสภาพเป็นมนุษย์อยู่กึ่งหนึ่ง ถูกมนุษย์ด้วยกันปฎิบัติต่อเยี่ยงเอเลี่ยน นั้นแสดงให้เห็นถึงความมืดบอดของจิตใจอันเห็นแก่ตัว ผลประโยชน์ต้องมาก่อน เช่น ต้องแยกร่าง วีคัส เพื่อเอาไปทดลอง เพื่อเอาที่จะสามารถใช้อาวุธได้-àเพื่อก่อสงคราม-นำมาซึ่งผลประโยชน์และการเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ส่วนเอเลี่ยนอย่างคริสโตเฟอร์ มีความหวังที่จะได้ช่วยพวกพ้องให้พ้นจากสภาพอันน่าสมเพชอย่างที่เป็นอยู่แม้ว่าต้องพยายามเป็นแรมปี เป็นต้นว่า แม้แต่เอเลี่ยนยังจิตใจสูงกว่ามนุษย์ในเรื่องนี้

ที่แท้ความดีหรือความชั่วมันก็อยู่ที่มายาคติสิ่งที่เรานึกคิดเอง ไอที่ว่าหน้าตาดีๆ การศึกษางามๆ มันอาจไม่ได้ดีไปกว่า คนธรรมดาอย่างเราๆ จิตใจสูงมันมิได้พกผันตามการศึกษาหน้าตาสังคมไปเสียทุกกรณีหากแต่ ดูกันที่แก่นของจิต ว่าความเห็นแก่ตนมันเกาะกินจิตใจแค่เพียงไหน หากมีมาก ก็คงอยากได้มาก เป็นไปเสียอย่างนั้นแหละ

No comments:

Post a Comment